เคล็ดลับการออกกำลังกายในช่วงหน้าร้อน

แน่นอนว่าในช่วงหน้าร้อนเป็นหนึ่งในช่วงที่อุณหภูมิร่างกายหรืออุณหภูมิภายนอก นั้นมีปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้หลายๆคนนั้น มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประจำวัน เพราะในช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงที่อุณหภูมิร่างกายของเราจะพุ่งสูงขึ้น จนทำให้การใช้ชีวิตหลายคนมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น

การออกกำลังกายในช่วงหน้าร้อน แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงหน้าร้อนถือเป็นหนึ่งในช่วงฤดูที่หลายๆคนนั้นมักที่จะออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะมีอุณหภูมิหรืออากาศที่ร้อนมากขนาดไหนก็ตาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายหรือแม้แต่การเล่นกีฬา เพราะการที่เราจะเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่ดีให้แก่ตนเองนั้น สามารถทำได้ทุกเมื่อและตลอดเวลาไม่เว้นแต่ฤดูกาลไหนก็ตามโดยเฉพาะฤดูกาลร้อน ซึ่งแน่นอนว่า

หากอากาศเริ่มร้อนแล้วเราออกกำลังกายจะยิ่งทำให้เราไม่สบายตัวและรู้สึกร้อนได้เพิ่มมากขึ้น แต่การดูแลสุขภาพร่างกายก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามและ ไม่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ฉะนั้น สำหรับใครที่อยากหันมาดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองด้วย

การออกกำลังกายในช่วงหน้าร้อน วันนี้เราก็จะมาแนะนำเคล็ดลับง่ายๆที่ช่วยให้คุณนั้นสามารถออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าอากาศจะร้อนขนาดไหน ก็สามารถสร้างสุขภาพร่างกายที่ดีให้แก่ตนเองได้ ไปดูกันเลย

1.การสังเกตขีดจำกัดของร่างกาย แน่นอนว่าร่างกายของคนเราก็มักที่จะมีขีดจำกัดเช่นกันซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าร่างกายของเรามีอุณหภูมิที่สูงเกินไปจนอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ ทางที่ดีควรที่จะหยุดออกกำลังกายและพักร่างกายให้อุณหภูมิอยู่ในระดับที่ปกติเพื่อเป็นการเซฟสุขภาพร่างกายและไม่เป็นการทำลายสุขภาพร่างกายของตนเองในช่วงหน้าร้อนนั่นเอง

2.อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ ยิ่งถ้าอากาศร้อนๆหากเราออกกำลังกายแน่นอนว่าร่างกายของเราจะเกิดภาวะขาดน้ำได้ง่าย ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้การออกกำลังกายในช่วงฤดูร้อนมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราได้มากที่สุดเลยก็คือ ก็ควรที่จะระวังไม่ให้ร่างกายของเราเกิดภาวะขาดน้ำเพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายของเรานั้นมีอุณหภูมิที่สูง และอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของเราได้นั่นเอง

3.การเลือกเวลาในการออกกำลังกายให้เหมาะสม สิ่งสำคัญที่เราจะออกกำลังกายอย่างไรในช่วงหน้าร้อนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเลยก็คือ ควรที่จะเรียกเวลาในการออกกำลังกายให้มีความเหมาะสมมากที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้การออกกำลังกายมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้วยังช่วย ลดอุณหภูมิในร่างกายของเราให้อยู่ในระดับที่ปกติได้อีกด้วย

 

สนับสนุนเนื้อหาจาก    เครื่องช่วยฟังอย่างดี

สัญญาณเตือนที่บอกว่าเราควรลดกาแฟ

กาแฟ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องที่ยามเช้าที่หลาย ๆ คนไม่ควรพลาด เพราะในกาแฟนั้นจะมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย ช่วยทำให้ระบบประสาทของเราตื่นตัว ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นได้

สัญญาณเตือนที่บอกว่าเราควรลดกาแฟ ดังนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่า ในทุก ๆ เช้าของแต่ละวันนั้นคนส่วนใหญ่มักที่จะเลือกเครื่องดื่มกาแฟเป็นเครื่องดื่ม

เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตในประจำวันนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า ถึงแม้กาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากขนาดไหนก็ตาม หากเราดื่มในปริมาณที่เหมาะสม หรือพอดีต่อความต้องการของร่างกาย ก็อาจเกิดประโยชนื

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเราได้รับกาแฟเข้าไปในปริมาณที่มากเกินไปนั้น จะยิ่งส่งผลให้ร่างกายของเราได้รับผลกระทบต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจทำให้เรามีอาการใจสั่น กระวนกระวาย กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาการนี้หากได้เกิดขึ้นแล้ว อาจไม้เป็นผลดีต่อร่างกายของเราเป็นแน่

ฉะนั้น การดื่มกาแฟเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า หากร่างกายของเราเกิดความผิดปกติขึ้นนั้นอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนที่อาจบ่งบอกได้ว่าเราควรลดการดื่มกาแฟ เพื่อลดการเกิดความอันตรายขึ้นกับร่างกาย จะมีสัญญาณเตือนอะไรกันบ้างไปดูกันเลย 

  • อาการปวดศีรษะ

โดยทั่วไปแล้ว หากเราเริ่มดื่มกาแฟใหม่ ๆ ร่างกายของเราจะรู้สึกมึน หรือรู้สึกปวดหัวอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราดื่มกาแฟจนร่างกายองเราเกิดความเคยชิน แต่เรายังมีอาการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ สัญญาณเตือนนี้อาจบอกได้ว่า ร่างกายของเรากำลังได้รับสารคาเฟอีน หรือกาแฟมากเกินไป ดังนั้น ทางที่เราควรที่จะลดการดื่มกาแฟให้น้อยลง เพื่อช่วยลดหรือบรรเทาอาการปวดหันที่เกิดขึ้นนั่นเอง 

  • อาการหัวใจเต้นแรง

หลายคนอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเราได้รับคาเฟอีนเกินขนาด จะส่งผลกระทบต่อหัวใจของเรา ซึ่งจะทำให้หัวใจเต้นแรง หรือเร็วมากกว่าปกติ เนื่องจากเกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอาการนี้ถือเป็นหนึ่งในอาการที่มีความอันตรายต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก ทางที่ดีควรที่จะรีบเข้ารับการรักษา หรืออาจจะต้องลดการดื่มกาแฟ เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับที่ปกติ 

  • อาการนอนไม่หลับ 

เป้นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกได้ว่า ร่างกายของเราได้รับกาแฟมากเกินไป เพราะจทำสารคาเฟอีนในร่างกายของเราถูกสะสม และนำมาใช้ในขณะที่เรากำลังจะนอน ซึ่งอาจจะทำให้บางคนมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อย ๆ หรือในบางครั้งนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นั่นเอง 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่

เปิดเคล็ดลับการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

อย่างที่เราทราบกันดีว่าการนอนดึก ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และที่สำคัญอาจทำให้ร่างกายของเรานั้นรู้สึกไม่สดชื่นและไม่กระปี้กระเป่าได้ ซึ่งอาจจะทำให้หลายๆ คนนั้นรู้สึกง่วงในระหว่างวันได้เช่นกัน หรือในบางครั้งอาจทำให้ร่างกายของเรานั้นรู้สึกอ่อนเพลียหรือปวดเมื่อยตามร่างกายได้ง่าย

เนื่องจากร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าการที่ร่างกายของเราได้รับผลกระทบแบบนี้อยู่บ่อยๆอาจทำให้ร่างกายของเรานั้นได้รับผลกระทบอย่างหนักไม่ว่าจะเป็น ร่างกายอ่อนแอ มีริ้วรอยได้ง่าย ร่างกายเสื่อมสภาพ

มีฮอร์โมนที่ผิดปกติ รวมไปถึงปัญหาอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย ดังนั้น การดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม

ซึ่งในสมัยนี้สำหรับใครที่ ทำงานหนักเต็มที่กับการทำงานและไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองเลย ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้คุณนั้นสามารถกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว และสดชื่นตลอดทั้งวัน

เปิดเคล็ดลับการกระตุ้นร่างกาย ถึงแม้ว่าเราจะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอแต่หากทำตามวิธีดังกล่าวรับรองได้เลยว่า นอกจากจะส่งผลดีต่อร่างกายแล้วยังทำให้ร่างกายของเรานั้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาได้อีกด้วย จะมีเคล็ดลับอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

1.การทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง

เนื่องจากสารอาหารประเภทนี้ถือเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าร่างกายของเราต้องขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารวิตามินซีสามารถช่วยเยียวยาสุขภาพร่างกายของเราถึงแม้ว่าเราจะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยว จะยิ่งทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แถมยังถือเป็นหนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกด้วย

2.พยายามนอนติดต่อกันสี่ชั่วโมง

ไม่ว่าเราจะทำงานหนักมากแค่ไหนก็ตามเราก็ควรที่จะหาเวลาว่าง ให้ร่างกายของเราได้พักผ่อนอย่างเพียงพอติดต่อกันอย่างน้อยประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะหากเรานอนน้อยไปมากกว่านี้จะยิ่งทำให้ร่างกายของเรารู้สึกอ่อนเพลียได้ง่ายมากขึ้นแถมยังอาจทำให้เรารู้สึกง่วงในระหว่างวันได้เช่นกัน

3.การงีบหลับ

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ทำงานมักที่จะรู้สึกง่วงในระหว่างวันซึ่งรู้หรือไม่ว่าการที่เราจะช่วยบรรเทาอาการง่วงหรือบรรเทาอาการอ่อนเพลียของร่างกายของเราได้นั่นก็คือการที่เรางีบหลับ เพราะถือเป็นการพักผ่อนร่างกายจากการทำงานหนัก หากเรามีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยเราก็ควรที่จะงีบหลับเพื่อฟื้นฟูร่างกายและทำให้ร่างกายของเราตื่นตัว

 

ได้รับการสนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

3 อาหารที่ช่วยป้องกันผมร่วงได้

อาหารที่ช่วยป้องกันผมร่วงได้ เชื่อว่าสาว ๆ ส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้มักที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับผมร่วง ผมบางกันอยู่อย่างแน่นอน เพราะปัญหานี้ถือเป็นปัญหาที่ทำให้คนส่วนใหญ่นั้นหนักใจมาก ๆ แถมยังอาจทำให้หนุ่ม ๆ สาว ๆ นั้นเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้อีกด้วย และที่สำคัญยังเป็นปัญหาที่ทำให้หลาย ๆ คนนั้นกำลังกังวลใจกันอยู่อีกด้วย

รู้หรือไม่ว่าปัญหาผมร่วงถึงแม้ว่าจะเป็นปัยหาที่พบเจอกันอยู่บ่อย ๆ นั้น ปัจจุบันนี้สามารถป้องกัน และรักษาปัญหานี้ได้ด้วยวิธีการเลือกรับประทานอาหาร

เพราะปกติแล้วเราจะเห็นได้ทวา หากใครที่พบเจอกับปัญหานี้อยู่ก็มักที่จะมองหาแชมพู หรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยบำรุงเส้นผม เพื่อลดการหลุดร่วงของผมได้ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสมัยนี้ นอกจากวิธีธรรมชาติแล้ว ก็คงมีอาหารที่สามารถช่วยบำรุงหนังศีรษะ หรือบำรุงเส้นผมของเราได้

ฉะนั้น สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการดูแลเส้นผม วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเส้นผม เทำให้ผมของเราแข็งแรงมากขึ้น แถมยังมีส่วนช่วยในการลดการหลุดร่วง และป้องกันผมบางได้เป็นอย่างดี จะมีอาหารประเภทไหนกันบ้างไปดูกันเลย 

1.ไข่ไก่

หลายคนอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า ไข่ไก่นั้นจะอุดมไปด้วยโปรตีนที่สูงท ๆ ซึ่งขึ้นชื่นในเรื่องของกรลดน้ำหนัก  ตรวจการได้ยินออนไลน์    แต่รู้หรือไม่ว่า ไข่ไก่นั้นยังสามารถช่วยป้องกันผมขาดหลุดร่วงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะนอกจากจะมีโปรตีน ในไข่ไก่ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นผมได้

ทให้ผมของเราดกดำขึ้น เงางาม และแข็งแรมากิ่งขึ้นได้อีกด้วย รับรองได้เลยว่าหากทานเป็นประจำนั้นนอกจากจะได้รับสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์แล้ว ยังช่วยบำรุงเส้นผมของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

2.วอลนัท

เป็นหนึ่งในอาหารที่สามารถช่วยบำรุงเส้นผมของเราให้มีคามแข็งแรง และช่วยลดอาการผมร่วงได้เป็นอย่างดี เพราะในวอลนัทนั้นจะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งถึงเป็สารอาหารที่มีความสำคัญสำหรับเส้นผมของเรามาก ๆ ทำให้ผมของเรามีความแข็งแรงมากขึ้น แถมยังมีส่วนช่วยในการลดผมร่วงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และที่สำคัญยังสามารถช่วยรักษาและบำรุงหนังศีรษะของเราให้มีความแข็งแรง สุขภาพดีมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย 

3.พริกหยวก

รู้หรือไม่ว่าใรพริกหยวกนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราเป็นอย่างมาก เพราะในพริกหยวกนั้นจะอุดมไปด้วยวิตามนซี ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันการขาดหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารอาหารเพื่อนำไปเลี้ยงเ้นผมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่สามารถช่วยป้องกันอาการผมบางได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาบางสิ่งก่อนที่จะเริ่มรูทีนการออกกำลังกายใหม่

สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณา ในการออกกำลังกายนั้นถึงแม้หลายคนนั้นจะตั้งใจในการออกกำลังกายมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็อาจจะเก็นได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนนั้ยนที่สามารถใส่เสื้อผ้าแบบเยอะๆด้วย

และสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณและรับการตรวจร่างกายก่อนเริ่มกิจวัตรการออกกำลังกาย นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มทำกิจกรรมที่ต้องออกกำลังอย่างหนักและมีพลัง

การตรวจสุขภาพแต่เนิ่นๆ สามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพหรือภาวะต่างๆ ที่อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการบาดเจ็บระหว่างออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกายของคุณ ทำให้คุณและเทรนเนอร์ส่วนตัวของคุณเข้าใจข้อจำกัดของคุณและสร้างแผนการออกกำลังกายที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของคุณได้ง่ายขึ้น หากคุณเลือกที่จะทำงานร่วมกับเทรนเนอร์ส่วนตัวของคุณ

การวางแผนและตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ ให้ลองสร้างแผนการที่มีขั้นตอนและเป้าหมาย

ที่ทำได้ วิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้คือเริ่มต้นด้วยแผนขั้นตอนง่าย ๆ ในการปฏิบัติตาม จากนั้นคุณสามารถสร้างมันต่อไปได้เมื่อระดับความฟิตของคุณดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือการวิ่ง 5 กิโลเมตรให้เสร็จ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการสร้างแผนที่รวมการวิ่งระยะสั้น เมื่อวิ่งระยะสั้นเสร็จแล้ว

ให้เพิ่มระยะทางจนวิ่งครบ 5 กิโลเมตรในคราวเดียว การเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ และทำให้คุณมีแรงบันดาลใจในทุกขั้นตอน

การทำให้เป็นนิสัย องค์ประกอบสำคัญอีกประการของความสำเร็จในการออกกำลังกายคือการปฏิบัติตามกิจวัตรประจำวันของคุณ ดูเหมือนว่าจะง่ายกว่าสำหรับผู้คนที่จะรักษากิจวัตรการออกกำลังกายในระยะยาวหากพวกเขาสร้างนิสัยและทำอย่างสม่ำเสมอ การทบทวนการศึกษาสรุปว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ  เครื่องช่วยฟัง   ด้วยนิสัยใหม่ที่ดีต่อสุขภาพเป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมในการรักษาไว้ในระยะยาว

นอกจากนี้ การจัดตารางเวลาหรือออกกำลังกายในเวลาเดียวกันทุกวันเป็นวิธีที่ดีในการรักษากิจวัตรประจำวันของคุณและทำให้อยู่ได้นาน ตัวอย่างเช่น คุณสามารถออกกำลังกายให้เป็นนิสัยโดยวางแผนออกกำลังกายทันทีหลังเลิกงานทุกวันหรืออย่างแรกในตอนเช้า การเลือกเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคุณเป็นสิ่งสำคัญ

โปรแกรมออกกำลังกายตัวอย่าง 1 สัปดาห์

ด้านล่างนี้คือโปรแกรมออกกำลังกาย 1 สัปดาห์ที่ทำตามได้ง่ายซึ่งไม่ต้องใช้อุปกรณ์และใช้เวลาเพียง 30–45 นาทีต่อวันเท่านั้นโดยการออกกำลังกาย 20 นาทีสำหรับผู้เริ่มต้น สามรถทำได้โดย30 การเคลื่อนไหวเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากการออกกำลังกายที่บ้านของคุณสำหรับระดับทักษะต่างๆ

6 ท่าออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่มีแรงกระแทกต่ำใน 20 นาทีหรือน้อยกว่า

สามารถลดปริมาณน้ำตาลโซดาโดยไม่กระทบยอดขายได้หรือไม่

สามารถลดปริมาณน้ำตาลโซดา สามารถลดปริมาณน้ำตาลโซดาการศึกษาใหม่ได้สำรวจว่ากลยุทธ์การลดน้ำตาลสำหรับผู้ผลิตโซดาอาจส่งผลต่อยอดขายผลิตภัณฑ์อย่างไร นักวิจัยจาก University of North Carolina และ University of Amsterdam ได้ทำการศึกษาว่ากลยุทธ์การลดน้ำตาลส่งผลต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไร ผลการวิจัยอ้างว่าการลดน้ำตาลในสินค้าอุปโภคบริโภคลงร้อยละ 8 –10

สามารถนำไปสู่การประหยัดค่ารักษาพยาบาลทั่วประเทศได้มากกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ Kristopher O. Keller ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง UNC Kenan-Flagler Business School

กล่าวว่า แม้จะมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลเสียของการบริโภคน้ำตาล แต่การบริโภคของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

บริษัทจำเป็นต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจซึ่งสามารถช่วยลดการบริโภคน้ำตาลได้” เคลเลอร์กล่าวต่อ เมื่อใช้ PepsiCo ผู้ผลิตโซดาเป็นตัวอย่าง นักวิจัยพบว่าบริษัทได้ลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ขณะที่เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กลงเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยกล่าวว่าบริษัทผลิตโซดาจำเป็นต้อง “สร้างสมดุลที่ละเอียดอ่อน” ระหว่างการลดน้ำตาลกับการปกป้องและเพิ่มยอดขาย

ในระหว่างการศึกษา นักวิจัยได้ตรวจสอบกลยุทธ์การลดน้ำตาล 2 วิธี ได้แก่ การลดปริมาณน้ำตาลและการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ผู้เขียนยังเสนอด้วยว่าประสิทธิภาพของกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ

เกี่ยวกับกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สามชุด ได้แก่ การติดฉลาก ตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์

เกี่ยวกับการติดฉลาก นักวิจัยกล่าวว่าผู้ผลิตแบรนด์ “ต้องตัดสินใจว่าจะแสดงการกล่าวอ้างว่ามีหรือไม่มีส่วนผสม (ไม่) ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถส่งสัญญาณความเพลิดเพลินและ/หรือสุขภาพที่ดี” พวกเขายังพบว่าการตัดสินใจสร้างแบรนด์สามารถกำหนดได้ว่าผลิตภัณฑ์ลดน้ำตาลจะถูกจัดอาหารกลางวันภายใต้แบรนด์ย่อยหรือ  เครื่องช่วยฟัง    แบรนด์ย่อยของอาหารหรือแบรนด์หลัก

สุดท้าย การศึกษาเน้นว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ (เช่น จำนวนผลิตภัณฑ์ต่อแพ็ค) มีความสำคัญต่อการบริโภคน้ำตาลในโซดา “สินค้าชิ้นเดียวจำกัดการบริโภค ซึ่งสอดคล้องกับการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่บรรจุภัณฑ์หลายชิ้นทำให้ผู้บริโภคมีสต็อกสำหรับการบริโภคอย่างต่อเนื่อง” นักวิจัยกล่าว

“เนื่องจากผลิตภัณฑ์โซดาโดยเฉลี่ยมีขนาดเกือบ 50 ออนซ์ จึงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปรับ (ขนาด) ผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคได้” Jonne Y. Guyt รองศาสตราจารย์และผู้ประสานงานการวิจัยที่แผนกการตลาดกล่าวสรุป ของ Amsterdam Business School

ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติดีต่อสุขภาพจริงหรือ

ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย คุณอาจเคยได้ยินว่าผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อทั่วไปเชื่อมโยงกับโรคต่างๆ เช่น มะเร็งและอัลไซเมอร์ นี่คือสิ่งที่การวิจัยแนะนำจริงๆ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ เดินไปตามทางเดินในร้านขายของชำของคุณและมีโอกาสดีที่คุณจะพบชั้นวางสินค้าทั้งหมด

ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ของใช้ในบ้าน และผลิตภัณฑ์เพื่อความงามในรูปแบบธรรมชาติ บ่อยครั้งที่พวกเขามีราคาแพงกว่าคู่หูทั่วไป ความหมายโดยนัยคือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมีความปลอดภัยและบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้มากกว่าแบบที่เรียกว่า “ผิดธรรมชาติ”

ซึ่งใช้กันมานานหลายทศวรรษ แต่สารระงับกลิ่นกายตามธรรมชาตินั้นดีกว่า Speed ​​Stick แบบเก่าจริง ๆ สำหรับคุณหรือไม่? นี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แนะนำ

ความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั่วไป ก่อนที่จะเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายแบบธรรมชาติและแบบทั่วไป ควรสังเกตว่ามีผลิตภัณฑ์ 2 ประเภทที่แตกต่างกันในประเภทผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ

ตามที่ได้อธิบายไว้ในบทความใน Annales de Dermatologie et de Vénéréologie ในปี 2020

ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันเหงื่อออก และใช้เกลืออลูมิเนียมเป็นส่วนผสมในการทำเช่นนั้น ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายไม่ได้ป้องกันเหงื่อออก พวกเขามุ่งปกปิดกลิ่นเหงื่อด้วยน้ำหอมและส่วนผสมต้านจุลชีพที่ออกฤทธิ์เพื่อจำกัดการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น

จากบทความใน International Journal of Dermatology สารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั่วไปมักเป็นไตรโคลซาน ซึ่งจากการวิจัยพบว่าเป็นสารต้านจุลชีพสังเคราะห์ ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายตามธรรมชาติมักใช้น้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากพืช ซึ่งทำหน้าที่เป็นน้ำหอมและมีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพด้วยเช่นกัน

ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติส่วนใหญ่แต่ไม่ใช่ทั้งหมดปราศจากอะลูมิเนียม

แต่แม้เส้นเหล่านั้นจะเบลอ ตัวอย่างเช่น Tom’s of Maine ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันในการขายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ นำเสนอผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อสองสามชนิดที่มีอะลูมิเนียม พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ปราศจากอะลูมิเนียมมากมาย ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อเหล่านี้ไม่มีคำว่า “เป็นธรรมชาติ” บนบรรจุภัณฑ์ แต่ความจริงที่ว่าพวกเขาขาย

โดยบริษัทที่ทำตลาดตัวเองว่าใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติอาจทำให้ผู้บริโภคสับสนได้ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่ได้นิยามคำว่า “ธรรมชาติ” ที่ใช้ในฉลากเครื่องสำอาง ดังนั้นจึงไม่มีข้อกำหนดที่มีความหมายว่าแบรนด์ต่างๆ ใช้คำนี้อย่างไร

หรือส่วนผสมใดที่อาจเรียกว่า “ธรรมชาติ” ” สินค้า ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อแบบธรรมดาเป็นอันตรายหรือไม่ Jeffrey Fromowitz, MD, แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการและ the ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ Dermatology of Boca ในเมือง Boca Raton รัฐฟลอริดา “จนถึงวันนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ยังไม่ปรากฏให้เห็น”

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังราคาถูก

ไมเกรน ผู้เชี่ยวชาญพูดถึงวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการปวดหัวเหล่านี้

การรักษาอาการปวดหัว ระหว่าง 14% ถึง 15% ของประชากรทั่วโลกมีอาการไมเกรน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการรักษาแบบใหม่หลายอย่างสำหรับโรคนี้Medical News Today ได้จัดทำภาพรวมของการรักษาไมเกรนที่มีอยู่แล้วและที่เกิดขึ้นใหม่ ไมเกรนเป็นภาวะทางระบบประสาทที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะซ้ำๆ

โดยรู้สึกปวดตุบๆ ที่ด้านใดด้านหนึ่งของศีรษะ อาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และไวต่อแสงและเสียงมากขึ้น

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ระหว่าง 14% ถึง 15% ของประชากรโลกได้รับผลกระทบจากไมเกรน ผู้หญิงมีโอกาสเกิดภาวะนี้มากกว่าผู้ชาย 2 ถึง 3 เท่า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีวิธีการใหม่ ๆ มากมายในการรักษาไมเกรน ซึ่งรวมถึงการแทรกแซงทางเภสัชวิทยาและไม่ใช่ทางเภสัชวิทยา ในเรื่องนี้ Medical News Today

ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ 5 คนเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะของการรักษาไมเกรนแบบต่างๆ

ไมเกรนคืออะไร ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของไมเกรน อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้เชื่อกันว่ามีพื้นฐานทางพันธุกรรมที่  หูตึงรักษา   แข็งแกร่ง อาการปวดศีรษะไมเกรนเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของเส้นประสาทและหลอดเลือดในสมอง อาการไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็นห้าระยะ Prodrome อาการ “ปวดศีรษะล่วงหน้า”

ที่ส่งสัญญาณว่าอาการปวดหัวจะเริ่มขึ้น อาการอาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความอยากอาหาร และท้องผูก การรบกวนทางประสาทสัมผัส เช่น การสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว แสงวาบและอาการชา และการรู้สึกเสียวซ่าในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ปวดหัว สั่น เจาะ ปวดคอ และตึง

Postdrome ระยะสุดท้ายของอาการไมเกรน ซึ่งรวมถึงความเหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิ และอารมณ์ซึมเศร้า Interictal ช่วงเวลาระหว่างสองตอนของไมเกรน ผู้ป่วยบางรายไม่ได้รับประสบการณ์ทั้งห้าขั้นตอน ตัวอย่างเช่น มีเพียง 25 ถึง 30% ของผู้ที่มีอาการไมเกรนเท่านั้น

เฟสยังไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในลำดับนี้ เช่น. ออร่าและปวดหัวสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกันมาตรฐานการดูแลไมเกรนในปัจจุบัน MNT

พูดคุยกับ Dr. J. Wes Ulm นักวิเคราะห์ทรัพยากรชีวสารสนเทศศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลชีวการแพทย์ที่ The National Institutes of Health เกี่ยวกับมาตรฐานการดูแลไมเกรนในปัจจุบัน หลักสำคัญของการรักษาอาการไมเกรนเฉียบพลันคือสูตรยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

ที่กำหนดเชิงประจักษ์ เช่น นาโพรเซน ไอบูโพรเฟน หรือไดโคลฟีแนค [และ] ยาแก้ปวดมาตรฐานที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ เช่น แอสไพรินหรืออะเซตามิโนเฟน อูล์มอธิบาย

ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ที่มีมาอย่างยาวนานเรียกว่า triptans เช่น sumatriptan, almotriptan และ frovatriptan [ถือเป็นมาตรฐานการดูแลด้วย]” เขากล่าวเสริม “Triptans อยู่ในกลุ่มยาที่เรียกว่า serotonin-receptor agonists

ซึ่งต่อต้านกระบวนการทางสรีรวิทยาที่ทำให้เกิดไมเกรน เช่น โดยลดการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น (การขยายตัวของหลอดเลือด) ของหลอดเลือดรอบสมอง [พวกเขายังบรรเทา] สัญญาณความเจ็บปวดที่ลงทะเบียนเป็นความเจ็บปวดเอง – กลไกที่เรียกว่า trigeminovascular”

Ulm สังเกตว่ายาเหล่านี้ทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะทนต่อยาได้ดี แม้ว่าประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไมเกรนที่รุนแรง

เขาเสริมว่าปริมาณที่ยาวนานหรือสูงอาจมีผลเสีย ยากลุ่ม NSAIDs อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทำลายไต ในขณะที่การใช้ triptan อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ MNT ยังได้พูดคุยกับ Dr. Vernon Williams นักประสาทวิทยาการกีฬา ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความเจ็บปวด

และผู้อำนวยการผู้ก่อตั้งศูนย์ประสาทวิทยาการกีฬาและยาแก้ปวดที่ Cedars-Sinai Kerlan-Jobe Institute ในลอสแองเจลิส เขาตั้งข้อสังเกตว่ายังมีการแนะนำวิธีการแบบองค์รวม ซึ่งหมายถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การนอนหลับที่เหมาะสม การรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม การลดความเครียด และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายประเภทใดดีที่สุด

การออกกำลังกาย อย่างที่เรานั้นรู้กันดีนั้นการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดี แต่การออกกำลังกายนั้นก็มีมากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคาดิโอหรือเวทเทรนนิ่งและแม้ว่าจะมีรูปแบบการออกกำลังกายที่ไม่รู้จบ แต่ผู้เชี่ยวชาญแบ่งประเภทกิจกรรมทางกายออกเป็น 4 ประเภทกว้างๆ

โดยพิจารณาจากสิ่งที่ร่างกายเรียกร้องให้ทำและประโยชน์ที่ร่างกายเคลื่อนไหว ซึ่งการออกกำลังกายแต่ละประเภทนั้นก็ให้ประโยชน์กับร่างกายในส่วนต่างๆแตกต่างกันออกไป

 

เริ่มจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้นมีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น แม้ว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก

ส่วนใหญ่กำหนดให้คุณต้องเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหมด แต่จุดสนใจหลักอยู่ที่หัวใจและปอด (มักเรียกการออกกำลังกายแบบแอโรบิกว่า “คาร์ดิโอ” เพราะมันท้าทายและเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ) กิจกรรมต่างๆ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ เต้นรำ และปั่นจักรยาน หากทำอย่างเข้มข้นเพียงพอ จะทำให้คุณหายใจเร็วขึ้น  ถ่านเครื่องช่วยฟัง    และหัวใจทำงานหนักขึ้น

ออกกำลังกายแบบแอโรบิค เผาผลาญไขมัน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดการอักเสบ และลดน้ำตาลในเลือดและช่วยทำให้การนอนหลับและพักผ่อนนั้นสามารถทำได้อย่างมีประเสิทธิภาพด้วย เพราะการออกกำลังกายในบักษณะนี้นั้นมักจะให้ความเหนื่อยและการหลั่งของอะลีนนาลีนอย่างมาก

การฝึกความแข็งแกร่ง บางครั้งเรียกว่าการฝึกด้วยแรงต้าน ควรทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สควอท ลันจ์ วิดพื้น และการออกกำลังกายโดยใช้เครื่องต้านแรงต้าน หรือการใช้น้ำหนักหรือสายรัดจะช่วยรักษาและสร้างมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง การฝึกความแข็งแรงยังช่วยป้องกันการหกล้ม รักษากระดูกให้แข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือด

และเพิ่มความสมดุล ทำแบบฝึกหัดทั้งแบบไอโซเมตริกและไอโซโทนิกร่วมกัน การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก เช่น การเล่นแพลงก์และยกขาค้างไว้

จะทำโดยไม่มีการเคลื่อนไหว เหมาะสำหรับการรักษาความแข็งแรงและปรับปรุงเสถียรภาพ การออกกำลังกายแบบไอโซโทนิกทำให้คุณต้องแบกน้ำหนักตลอดช่วงการเคลื่อนไหว Bicep curls, bench press และ sit-ups เป็นการออกกำลังกายแบบไอโซโทนิกทุกรูปแบบ

การออกกำลังกายแบบยืดกล้ามเนื้อช่วยให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของคุณมีความยืดหยุ่น รักษาท่าทางของคุณ และปรับปรุงการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุมากขึ้น การยืดสามารถทำได้ทุกวัน รวมถึงการฝึกการทรงตัวต้องอาศัยระบบต่างๆ ที่ช่วยให้คุณตั้งตรงและมีสมาธิ เช่น หูชั้นใน การมองเห็น กล้ามเนื้อและข้อต่อ ไทเก็กและโยคะเป็นรูปแบบที่ดีของการออกกำลังกายที่สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการหกล้มและอยู่อย่างอิสระจนถึงปีสุดท้ายของคุณ

ปัจจัยทางจิตวิทยากับการนอนหลับ

ปัจจัยทางจิตวิทยากับการนอนหลับ มีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างสุขภาพจิตของเรากับการนอนหลับของเรา ปัญหาสุขภาพจิตอาจทำให้เกิดปัญหาเช่นการนอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเรา ชายที่นอนอยู่บนเตียงมีปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต โดยอาการบางอย่างที่เราอาจพบได้คือไม่มีสมาธิ หงุดหงิดง่าย

อารมณ์แปรปรวนและดิ้นรนในการตัดสินใจ ปัญหาสุขภาพจิตทั่วไป เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล

อาจส่งผลต่อการนอนหลับของเราในรูปแบบต่างๆ อาการซึมเศร้ามักเกิดจากพลังงานในร่างกายลดลง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหมดแรงและต้องการนอนมากขึ้น สิ่งนี้อาจส่งผลต่อรูปแบบการนอนหลับของเราหากเราเริ่มนอนในระหว่างวัน นอกจากนี้ยังอาจหมายความว่าเรารู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าไม่สดชื่นหลังจากนอนมากเกินไป

ความวิตกกังวลมักเกิดจากพลังงานในร่างกายสูง ซึ่งอาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เหงื่อออก และหายใจเร็วขึ้น อาการทางสรีรวิทยาที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ไม่ใช่สภาวะที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับสนิท และการนอนหลับจะยากขึ้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับการผ่อนคลาย

ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมมักเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการนอน เช่น โรคนอนไม่หลับ การนอนหลับถูกควบคุมโดยนาฬิกาชีวภาพภายใน ซึ่งควบคุมโดยจังหวะ circadian และวงจรการหลับ-ตื่นของเรา หากคุณเดินทางไปต่างประเทศบ่อย

เข้านอนในช่วงสุดสัปดาห์ หรือไม่ได้กำหนดเวลาเข้านอน/ตื่นนอนที่กำหนดไว้ วงจรการตื่นนอนของคุณจะถูกรีเซ็ตเป็นประจำและอาจได้รับผลกระทบตามมา พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้สม่ำเสมอที่สุด แม้ว่าการงีบหลับสั้นๆ จะดีต่อความตื่นตัว แต่ถ้าการงีบหลับใกล้เวลานอนหรือนานเกินไป

การงีบหลับอาจทำให้กิจวัตรนี้เสียและส่งผลเสียต่อการนอนหลับตอนกลางคืน หากคุณเป็นโรคนอนไม่หลับ

ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการงีบหลับไปเลย แต่ถ้าจำเป็นต้องงีบหลับ ให้พยายามให้น้อยกว่า 30 นาที และอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเข้านอน การดื่มแอลกอฮอล์และสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีนและนิโคตินจะส่งผลต่อการนอนหลับของคุณ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหลังเที่ยงวัน เนื่องจากจะไปขัดขวางตัวรับการนอนหลับในสมอง หากคุณมีอาการนอนไม่หลับ เช่น นอนไม่หลับ คุณควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ในตอนเย็นหรือทั้งหมด

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่พบบ่อยที่สุดที่ส่งผลต่อการนอนหลับมักจะหมายถึงสภาพแวดล้อมในห้องนอน ขั้นแรก พยายามให้ห้องนอนของคุณเป็นพื้นที่สำหรับการนอนเป็นหลัก หากคุณกำลังทำงาน รับประทานอาหาร หรือสังสรรค์ในห้องนอน คุณอาจเชื่อมโยงพื้นที่นั้นกับการตื่นนอน

ชายคนหนึ่งนอนหลับสนิท ควรควบคุมแสง เสียง และอุณหภูมิด้วย  เครื่องช่วยฟังราคาถูก   เพื่อการนอนหลับที่เหมาะสม การได้รับแสงมากเกินไปในตอนเย็นจะส่งผลต่อการนอนหลับ ดังนั้นควรจัดแสงอ่อนๆ ในห้องนอนในตอนเย็น หลีกเลี่ยงทีวี โทรศัพท์ และแท็บเล็ตในห้องนอน และลงทุนในม่านทึบแสงหรือหน้ากากปิดตาหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่สว่าง ห้องเย็นช่วยลดอุณหภูมิร่างกายก่อนนอน

ซึ่งช่วยเริ่มต้นกระบวนการนอนหลับ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าห้องของคุณเย็น – อุณหภูมิระหว่าง 16–19˚C เหมาะสมที่สุด เสียงรบกวนมากเกินไปยังเป็นสาเหตุทั่วไปของความผิดปกติของการนอน และอาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมในห้องนอนที่ไม่ดี ตัวอย่างเช่น สัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นข้างนอก

หรือเสียงฮัมจากเครื่องทำความร้อนของคุณ อาจก่อกวนได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเสียงที่สม่ำเสมอ (เช่น จากเบาเป็นดัง) และอาจทำให้ระคายเคืองได้ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงดังมากเกินไปได้ ปลั๊กอุดหูอาจเป็นทางออกที่ดี บางคนพบว่าเสียงสีขาวหรือเพลงที่ผ่อนคลายอาจมีประโยชน์